เมนู

กลับ

สงคราม ส่งด่วน Mad Unicorn

10
2025
สงคราม ส่งด่วน Mad Unicorn เป็นเรื่องราวของ สันติ (ไอซ์ซึ ณัฐรัตน์ นพรัตยาภรณ์) เด็กดอยที่เติบโตมาในหมู่บ้านห่างไกลบนดอยวาวี ผู้มีความฝันจะถีบตัวเองและครอบครัวให้พ้นจากความยากจนให้ได้ เขากำฝันนั้นเดินทางมายังกรุงเทพฯ พร้อมสิ่งเดียวที่มีติดตัวคือภาษาจีนที่ร่ำเรียนจากแม่มาตั้งแต่เด็ก สันติค้นพบโอกาสสู่ความร่ำรวย เมื่อเล็งเห็นว่าราคาขนส่งพัสดุระหว่างไทยกับจีนแตกต่างกันอย่างมหาศาล เขาจึงนำแผนการลงทุนนี้ไปเสนอกับ คณิน (เอก ธเนศ วรากุลนุเคราะห์) ผู้กุมบังเหียนกลุ่มทุนยักษ์ใหญ่ คณินกรุ๊ป แต่กลับถุูกเจ้าสัวใจหินทรยศหักหลัง เอาความคิดของเขาไปทำเอง โดยให้ เคน (พีช พชร จิราธิวัฒน์) ลูกชายของเจ้าสัวคณิน ที่เติบโตมาภายใต้เงาความสำเร็จของพ่อมาทั้งชีวิตบริหารธุรกิจนี้ การแก้แค้นจึงเริ่มต้นขึ้น สันติร่วมมือกับ เสี่ยวหยู (เจนเย่ เมธิกา จีรนรภัทร) นักการเงินระดับหัวกะทิที่ไหวพริบเฉียบคม และ รุ่ยเจี๋ย (ดร.พลัง โลกศิลป์) โปรแกรมเมอร์ระดับพระกาฬที่เย็นชาไร้มนุษยสัมพันธ์ ตัดสินใจทุ่มหมดหน้าตัก ก่อตั้งบริษัทสตาร์ตอัป ธันเดอร์ เอ็กซ์เพรส พร้อมกระโจนลงสู่สมรภูมิธุรกิจขนส่งพัสดุด่วนที่กำลังเติบโตอย่างก้าวกระโดด ท้าชนคู่แข่งทุนยักษ์ที่เคยหักหลังเขาอย่างเจ็บแสบ นำไปสู่การลุยชนทุกสิ่งกีดขวางอย่างบ้าดีเดือด เพื่อช่วงชิงส่วนแบ่งตลาดมูลค่าหมื่นล้านมาครองให้ได้
รีวิวโดย Sit To See RemakedJul 20, 2025

คะแนนแยกตามหมวดหมู่

10 / 10
คะแนนรวม
Verify with Movie Ticket
เนื้อเรื่อง
10/ 10
การกำกับ
10/ 10
การแสดง
10/ 10
ภาพและเสียง
10/ 10
ความบันเทิง
10/ 10

บทนำ

ซีรีส์ธุรกิจขยี้แค้น ที่เล่าออกมาได้โคตรบันเทิง สนุก จัดจ้าน ครบรส และสามารถบริหารพื้นที่ของทุกอารมณ์ได้อย่างกลมกล่มดีเยี่ยม ช่วงเดือดก็สุดปรอท ช่วงดราม่าก็เล่นเอาสะอื้น ทว่าท่ามกลางการห้ำหั่นเพื่อเหยียบหัวนายทุนสุดบ้าคลั่ง ตัวซีรีส์ก็สามารถมอบบทเรียนให้คนดูได้อย่างอบอุ่น เติมไฟฝันให้เจิดจ้า สร้างแรงบันดาลใจได้อย่างยอดเยี่ยม กลายเป็นซีรีส์ไทยที่ดีที่สุดสำหรับผม!

การวิเคราะห์

(งานสร้าง) งานสร้างของ สงครามส่งด่วน ทำได้ดีตามสเกลของตัวหนัง และมาตรฐานของ ซีรีส์ จาก Netflix อาจจะมี CGI ในบางจุดที่ดูลอยไปบ้าง เช่น ฉากเผาพัสดุ และ ฉากเมฆฝนกลางทะเล แต่ในภาพรวมถือว่าไม่ได้ติดอะไร จุดที่โดดเด่นมากๆในแง่ของ งานสร้าง มีอยู่ 3 จุดใหญ่ๆคือ 1. การถ่ายภาพ ตัวหนังค่อนข้างมีภาพที่เฉพาะตัว ด้วยการจัดองค์ประกอบภาพ รวมถึงเรื่องแสงต่างๆ ซึ่งมันสอดรับกับการนำเสนอสัญญะ และอารมณ์ของภาพได้เป็นอย่างดี 2. ฉากและพล็อพ ภาพที่ดีจะทำได้ง่ายขึ้น ถ้างานศิลป์ต่างๆตอนถ่ายทำดี ซึ่งในซีรีส์สงครามส่งด่วนก็ทำจุดนี้ได้อย่างยอดเยี่ยม จะสังเกตได้เลยว่า ทุกอย่างที่อยู่ในฉากล้วนน่าเชื่อถือ และสอดคล้องกับการนำเสนอของตัวหนังมากๆ มันดูเป็นอะไรที่ถูกใส่ใจ และถูกคิดมาแล้วเป็นอย่างดี ส่งผลให้องค์ประกอบของงานศิลป์ในฉากสามารถสนับสนุนการเล่าเรื่องของหนังได้อย่างยอดเยี่ยม 3. ดนตรีประกอบ ต้วหนังใช้เพลงหลักๆอยู่ไม่กี่เพลง แต่ทุกเพลงล้วนติดหู มีเอกลักษณ์ และถูกใส่เข้ามาอย่างถูกจังหวะ สามารถขับเน้นอารมณ์คนดูให้ไปกับสิ่งที่หนังกำลังพยายามสื่อสารได้อย่างไร้ข้อกังขา . (นักแสดง) ในภาพรวมนักแสดงทุกคนทำหน้าที่ของตัวเองได้ดี เหล่าตัวละครสมบท แม้บทจะไม่เยอะแต่ก็สามารถใส่ความเป็นมนุษย์ลงในการแสดงและมอบสเน่ห์ให้กับทุกตัวละครได้อย่างน่าสนใจ ในแง่ของ นักแสดงนำทั้ง 5 ทุกคนปล่อยของใส่กันแบบไม่มีใครยอมใคร ไอซ์ซึ ณัฐรัตน์ นพรัตยาภรณ์ ทำให้เรารู้สึกเอาใจช่วยได้อย่างสุดหัวใจ มอบมิติความเป็นมนุษย์ให้กับตัวละครอย่างจับต้องได้ถึงที่สุด เจน รมิดา จีรนรภัทร ในบท เสี่ยวหยู๋ ผมพึ่งเคยเห็นเธอจากซีรีส์เรื่องนี้เป็นเรื่องแรก นอกจากความอ่อนนอกแข็งในที่เธอสามารถถ่ายทอดสู่ตัวละครได้อย่างยอดเยี่ยมแล้ว เธอยังเต็มไปด้วยสเน่ห์ สะกดสายตา จนทำให้โดนตกโดยไม่รู้ตัว แถมเคมีกับตัวละคร เคน คือดีงาม ทุกครั้งที่มีโมเมนต์โรแมนติกคือดูแล้วเขินตัวจะบิดเป็นเกลียวอยู่แล้ว ดร. พลัง โลกศิลป์ แจ้งเกิดสุดๆในบท รุ่ยเจี๋ย ตัวละครที่ปากหมาที่สุดในเรื่อง สามารถถ่ายทอดคำด่าสาดเสียเทเสีย ออกมาได้อย่างโคตรจะบันเทิง ด่ากี่ทีฮาทุกดอก แถมตัวละครนี้ยังมีพื้นที่ให้โชว์ของเยอะเอามากๆ ซึ่ง ดร. พลัง โลกศิลป์ ก็สามารถทำออกมาได้อย่างยอดเยี่ยม เป็นทั้งตัวสร้างสีสรรค์ของเรื่อง และเป็นหนึ่งในตัวละครที่ชวนหลงรักมากที่สุดในเรื่อง พีช พชร จิราธิวัฒน์ ในบท ลูกคนรวยที่ทำตัวหัวค_ย ทำหน้าที่ของตัวเองได้ดี แม้ค่อนเรื่องตัวละครนี้ จะดูมีมิติเดียว ที่ดูแล้ว***จะเลวไปไหน แต่พอตัวละคร คายความรู้สึกของตัวเองออกมาในช่วงท้าย พีช พชร สามารถเล่นบทนิ่งๆแต่ซึมลึก เงียบๆแต่เจ็บปวด และสร้างมิติให้กับตัวละครนี้ได้อย่างยอดเยี่ยม และสุดท้าย พี่เอก ธเนศ วรากุลนุเคราะห์ ตัวละครที่น่าซัดที่สุดในเรื่อง พี่เอกสามารถถ่ายทอดความ นิ่งๆแต่ยิ่งใหญ่ เห็นยิ้มๆแต่มีมีดซ่อนไว้ ได้อย่างไร้ที่ติ ส่งให้ตัวละคร เจ้าสัวคนิน เป็นตัวโกงในซีรีส์ที่มีแง่มุมอย่างไม่น่าเชื่อ เป็นนายทุนใจดี ที่มีมุมมืดซุกซ่อนเอาไว้ภายใต้รอยยิ้มแสนอบอุ่น เป็นตัวละครที่ชวนหลงรัก แต่ก็น่าต่อยในเวลาเดียวกัน แถมพี่เอก ธเนศ ยังสามารถเล่นบท นายทุนที่เจ็บปวด แต่ต้องซ่อนความรู้สึกเอาไว้ โดยไม่ต้องเล่นใหญ่โวยวาย ได้อย่างทรงพลังสุดๆอีกด้วย หากจะพูดว่านี่น่าจะเป็น การแสดงที่ดีที่สุดครั้งหนึ่งของ เอก ธเนศ วรากุลนุเคราะห์ ก็คงไม่ผิดนักครับ แม้ภาพรวมการแสดงจะดีมาก แต่ตัวหนังก็ยังแอบมีจุดที่ทำให้คนดูหลุดจากเรื่องอยู่ ซึ่งนั่นก็คือการแสดงของเหล่าตัวประกอบในฉากที่มีคนเยอะๆ ในยามปกติที่ต้องใช้ชีวิต ทำงาน ทุกคนเล่นได้ดีครับ แต่เมื่อใดก็ตามที่มีการพูดปลุกใจ และต้องมีซีนอารมณ์ หลายครั้งที่กล้องตัดไปหาเหล่าพนักงาน ผมคนดูกลับไม่เชื่อในการแสดงของพวกเขา ที่บางครั้งมันดูไร้อารมณ์ ไม่เป็นธรรมชาติ ซึ่งก็นับว่าน่าเสียดายไม่น้อยครับ . (บทและการเล่าเรื่อง) บทของ “สงครามส่งด่วน” เป็นตัวอย่างที่ดีของบทซีรีส์ที่สนุกครบรสและไม่ลืมเรื่องที่จะเล่า พูดให้เห็นภาพคือ ระหว่างที่ในทุกตอนตัวหนังมีโมเมนต์ให้คนดู สนุก ตลก ลุ้น ร้องไห้ ปะปนกันไป ทุกอารมณ์มาในจังหวะที่สมควร ไม่ยัดเยียด แต่ในขณะเดียวกัน แม้ตัวเรื่องมันจะเล่นมุก จะด่ากัน จะปล่อยดราม่าใส่กัน แต่เส้นเรื่องของหนังก็ยังคงเดินไปข้างหน้าอยู่เสมอ ทำให้คนดูรู้สึกว่าหนังเล่าเรื่องตลอดเวลา เพราะทุกโมเมนต์ของมันคือผลกระทบ หรือ สารตั้งต้น ของโมเมนต์ต่อไปตลอด ไม่ได้มีอะไรที่ปูแล้วไม่ใช้ ขนาดตัวละครจับมือกันมันยังเอามาตบเล่าเรื่องได้เลย ซึ่งในมุมมองของผม ผมมองว่าการที่ตัวหนังมันเดินตลอดเวลา ทำเกิดจากการที่สร้างทีมสร้างและคนเขียนบท น่าจะตั้งเป้าประสงค์ไว้อย่างดี ว่าในแต่ละตอนที่มีความยาวกว่า 50 นาที พวกเขาอยากจะให้คนดูรับรู้อะไร เมื่อรู้แล้ว ว่าในแต่ละช่วงของเรื่องต้องการอะไร สิ่งที่ต้องทำคือ “ทำอย่างไรให้เนื้อเรื่อง” มันไปถึงจุดนั้นให้ได้ โดยไม่ยัดเยียด ซึ่งวิธีที่ตัวหนังเลือกใช้ คือการจัดวางตัวละครที่มีน้ำหนัก ให้ทุกคนไม่ได้เป็นคนสมบูรณ์แบบ มีปมเป็นของตัวเองในประเด็นที่ต่างกัน และตลอดเวลาที่หนังเล่าไป มันมักจะหยิบปมตรงนี้ มาขยี้และใช้ในการพัฒนาตัวละคร รวมถึงพาตัวละครไปยังอุปสรรคได้อย่างน่าสนใจ ทั้งปมเรื่อง การทำงานเป็นทีมของรุ่นเจี๋ย ปมเรื่องการแต่งงานของเสี่ยวหยู๋ และปมเรื่องอยากโค่นเสี่ยคนินของสันติ แต่ละปมล้วนไม่สามารถแก้ด้วยวิธีเดียวกันได้ นั่นทำให้เรื่องราวมันมีจุดให้เล่าให้เติม มีอะไรให้คนดูตาม มากกว่าจะมานั่งดูคนทำธุรกิจเฉยๆ อีกทั้งตัวซีรีส์ ยังชาญฉลาดในการสร้างอุปสรรคให้กับตัวละคร ยิ่งทำยิ่งยากยิ่งท้าทาย และปัญหาก็ยิ่งใหญ่มากขึ้นเรื่อยๆ ทว่าทุกปัญหามันทำให้คนดูระทึก และทำให้ตัวละครได้เรียนรู้ ซึ่งมันก็ยิ่งทำให้คนดูอยากดูต่อ ว่าปัญหาที่เจอจะแก้ได้อย่างไร ตัวละครจะเปลี่ยนไปอย่างไร และตัวเรื่องราวจะดำเนินต่อไปในทิศทางไหน การนำเสนอของ สงครามส่งด่วน เป็นอีกจุดที่น่าสนใจ วิธีการเล่ามีความ“ลึกแต่ง่าย”กล่าวคือ ตัวซีรีส์มีการใช้ภาษาภาพยนตร์มาเล่าสัญญะในหลายจุด แต่ในขณะเดียวกันก็เล่าประเด็นที่แฝงผ่านเรื่องราวไปด้วยกลายๆ ทำให้คนที่ชอบดูหนังตีความก็สนุกกับการสังเกตองค์ประกอบและวิธีการเล่าในภาพ ได้รู้ถึงสิ่งที่ผู้สร้างซ่อนเอาไว้ แต่ในขณะเดียวกันคนดูสายดูเอาบันเทิงก็สนุกและเข้าใจไปกับสิ่งที่หนังเล่าได้ เช่น ฉากที่ตัวละครพูดถึงภาพวาดสีน้ำมันที่สีไม่แห้ง ตัวหนังอธิบายถึงฉากนี้แบบง่ายๆตรงไปตรงมา คนดูสายเข้าใจง่ายจะพอเข้าใจเรื่องราว มุมมองของตัวละครต่อภาพวาดฝืนนี้ แต่ในขณะเดียวกัน ตัวหนังก็แอบใส่สัญญะของ “สีติดมือ” เข้ามา เพื่อช่วยเพิ่มมิติของฉากให้มากขึ้นไปอีก นับเป็นซีรีส์ไทยที่มีวิธีการนำเสนอฉากตรงไปตรงมาให้มีมิติได้อย่างน่าสนใจมากๆครับ อีกจุดที่อยากชื่นชมมากๆคือการที่ตัวซีรีส์ “ไม่หลงประเด็น” เลยตลอดเวลาที่มันดำเนินไป โดยเฉพาะกับความสัมพันธ์ของเหล่าตัวละครในเรื่อง มีหลายครั้งที่ตัวซีรีส์สามารถพัฒนาความสัมพันธ์ของบางตัวละคร ไปอีกในทิศทางซึ่ง “ซีรีส์เกาหลี” นิยมทำกัน ซึ่งมันจะเพิ่มปมและอุปสรรคให้กับเรื่องราวได้ แต่สงครามส่งด่วน เลือกจะไปอีกทาง ให้ความเป็นมนุษย์และแนวคิดของตัวละคร นำการตัดสินใจของพวกเขา ส่งผลให้หลายโมเมนต์ของเรื่อง มันมีอุปสรรคที่พอดีคำ และ อัดแน่นไปด้วยพลังบวกที่ปลอบประโลมจิตใจคนดู รวมถึงมันได้สร้างหลากโมเมนต์โคตรอบอุ่นที่เราไม่ได้เห็นบ่อยนักในซีรีส์ตามท้องตลาด ผมขออนุญาติผู้รักซีรีส์เกาหลีทุกท่านเปรียบเทียบ “สงครามส่งด่วน” กับ “Itaewon Class ธุรกิจปิดเกมแค้น” เพราะสองเรื่องนี้ เล่าเรื่องคนทำธุรกิจเพื่อโค่นนายทุนเหมือนกัน ในขณะที่ Itaewon Class เลือกจะโฟกัสที่ความสัมพันธ์รักใคร่ในช่วงท้าย ซึ่งทำให้ตัวซีรีส์เดินทางสู่ความเป็นเมโล่วดราม่าเต็มสูบ ซึ่งก็น่าจะถูกใจตลาดเกาหลีไม่น้อย แต่ส่วนตัวผมไม่ชอบเพราะเสียดายมวลธุรกิจที่หนังเล่ามาตั้งนานนม กลับกัน สงครามส่งด่วน เลือกจะซื่อตรงกับสิ่งที่ตัวเองอยากเล่า และมันก็พาคนดูไปถึงเส้นชัยได้อย่างงดงาม มันไม่ทิ้งเส้นความสัมพันธ์แต่กลับเล่าออกมาได้อย่างพอดีคำ อบอุ่น เต็มไปด้วยพลังบวก และแรงบันดาลใจ ในขณะที่อีกเรื่องมันมาไม่ถึงจุดนี้เลยด้วยซ้ำ ใดๆคือ ความคิดเห็นส่วนตัวนะจร๊ะ . (แก่นของเรื่อง) ประเด็นหลักของเรื่อง สงครามส่งด่วน น่าจะพูดถึงการที่ “คนตัวเล็กก็สามารถเอาชนะยักษ์ใหญ่ได้เช่นกัน” ซึ่งสิ่งนี้มันแข็งแรงมากๆจากคอนเซปของเรื่องอยู่แล้ว ทว่าตัวซีรีส์ก็เสริมประเด็นอื่นที่สนับสนุนแก่นหลักของเรื่องเข้ามา ซึ่งประเด็นที่เสริมเข้ามา มันช่วยเติมเต็มเรื่องราวได้เป็นอย่างดี ส่วนตัวผมชอบประเด็นเรื่อง เพื่อน , ทีมเวิร์ค และ ศัตรู ของตัวหนังมากๆ เพราะนอกจากมันจะสะท้อนบางมุมที่เรามองข้ามไปให้เห็นแล้ว มันยังเป็นเชื้อเพลิงชั้นดี ที่จะเติมไฟฝันและแรงบันดาลใจของผู้ชม ให้ลุกโชนโชติช่วงชัชวาลขึ้นมาอีกครั้ง สำหรับผม “สงครามส่งด่วน” ได้กลายเป็นซีรีส์ไทยที่ผมรักมากที่สุด ณ ตอนนี้ เพราะนอกเหนือความบันเทิงสุดปรอทที่หนังมอบให้แล้ว มันยังได้สร้างแรงบันดาลใจให้กับผม ให้อยากลุกขึ้นมาทำอะไรสักอย่าง อีกด้วยครับ

สรุป

ไม่ดูบาปอะบอกเลย ส่วนสรุปต้องมีอย่างน้อย 20 ตัวอักษร???

เข้าสู่ระบบ

เข้าสู่ระบบหรือลงทะเบียนเพื่อตอบกลับ